*คำเตือน : บทความนี้โหด รูปเยอะ ตัวอักษรแยะ โปรดอดทนต่อการอ่าน*
เคยมีป้ายเชิญชวนหน้าจังหวัดแห่งหนึ่งกล่าวไว้ว่า “พักเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี” ใช่ละครับ เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตแห่งหนึ่งในประเทศไทย ได้ไปเที่ยวมาด้วย แต่สไตล์ชิวๆ ไม่มีรถนะครับ ฮ่าๆ ไปดูกันดีกว่า เมื่อไม่มีรถ แล้วพักยังไง ที่ไหนและบรรยากาศเป็นยังไง :3
” จริงๆ ถ้าพูดหน้าร้อนมันก็ต้องลงไปเที่ยวทะเล แช่น้ำให้ตัวเปื่อย ตัวดำกันไปข้างนึง แต่ไม่ครับ ผมมักจะสวนกระแสชาวบ้านเค้าเสมอ อีกอย่าง การเที่ยวสวนกระแสถึงแม้มันไม่ได้อารมณ์เหมือนในช่วง High Season แต่ผมก็รับรองว่าการเที่ยวแบบนี้ก็ได้อีกบรรยากาศนึง ไม่ต้องเจอคนมากๆ แถมประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะเป็น Low Season ด้วยนะ “
เราเดินทางออกจากมหาวิทยาลัยนเรศวรด้วยรถเมล์บ้านเราไปลงที่ศูนย์ท่ารถแห่งที่ 1 ของจังหวัดพิษณุโลก จากนั้นเดินทางไปเขาค้อด้วยรถเมล์ปรับอากาศ(ธรรมชาติ) เพชรบูรณ์-พิษณุโลก ด้วยราคา 52 บาท ไปลงที่แยกแคมป์สน จ.เพชรบูรณ์ ซึ่ง ณ สามแยกนี้ เราสามารถเดินทางขึ้นเขาค้อได้
|
รถร่วมบขส. พิษณุโลก – เพชรบูรณ์ |
|
บรรยากาศรถปรับอากาศ(ธรรมชาติ) |
มาดูที่พักดีกว่า ที่พักเราไปพักที่ ภูคำรีสอร์ท สำหรับรีสอร์ทนี้นะครับ ตั้งอยู่ก่อนสามแยกแคมป์สนพอดี ฉะนั้นรับรองว่าการเดินทางมารีสอร์ทนี้ เดินทางสะดวกแน่นอน อีกอย่าง ผมได้ทำการจองห้องพักผ่าน Agoda.com ได้ราคาห้องพักที่ต้องบอกว่าถูกจนตกใจ จริงๆ แล้วผมก็ไม่เคยจองห้องพักหรือทำธุรกรรมเกี่ยวกับการจองอะไรแล้วจ่ายเงินผ่านออนไลน์แบบนี้ ยิ่ง Agoda เนี่ย สืบแล้ว สืบอีกว่าเชื่อถือได้มั้ย โทรไปที่พักเลยว่าถ้าเราจองผ่าน Agoda ต้องทำยังไง ต้องบอกว่าเจ้าของที่พักใจดีมากๆ เลยละครับ (ตัวเค้าอยู่กรุงเทพ แต่ให้คนสวนกับคนครัวเฝ้ารีสอร์ทไว้) สรุปแล้วจองก็เอาบัตรประชาชนกับสำเนาการจองไปยื่น ณ วันที่เข้าพักได้เลย ก็ได้ห้องพักแบบ Deluxe Air Conditioning ในราคา 1200 บาท (จากราคา 2500 บาทแหนะ)
|
ป้ายทางเข้ารีสอร์ท |
|
บรรยากาศทางเข้ารีสอร์ท |
|
ที่พักแบบสองชั้น ด้านล่างเป็นห้องพัดลม ด้านบนห้องแอร์ |
|
ทางขึ้นห้องพักแบบ Deluxe Air Conditioning |
|
บรรยากาศภายในห้องพัก |
|
ระเบียงของห้องพัก |
|
ห้องน้ำภายในห้องพัก |
ที่พักที่นี่จะแบ่งออกเป็นโซนๆ ครับ ก็มีแบบพักหลายคน พักสองคน มีทั้งห้องแอร์และพัดลม ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกก็จะมีทีวี(เล็กไปหน่อย ช่องก็น้อยด้วย) ตู้เย็น(ภายในมีน้ำดื่มฟรี 2 ขวด) สบู่ ผ้าเช็ดตัว Wifi ฟรี(แรงและสัญญาณกว้างมาก) และยังมีผ้านวมสำรอง สำหรับอากาศหนาวแบบมากๆ ให้อีกด้วย อย่างห้องพักของผมก็จะมีระเบียงยื่นออกมาด้วย ฉะนั้นก็จะสามารถมองวิวมุมต่ำได้
แล้วเกิดคำถามว่า… ไม่เอารถไป จะเดินทางไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ บนเขาค้อยังไงแล้วมื้อเย็นจะหาอะไรกิน ตอนแรกถามเพื่อนที่อยู่ในพื้นที่ครับ เขาบอกว่ามีรถสองแถวที่เราสามารถโบกขึ้นไปได้ แต่มีคันละชั่วโมง แถมบางทีก็เดาใจไม่ถูกด้วยว่าจะมาตอนไหน ส่วนใหญ่เค้ามาเป็นกรุ๊ปแล้วก็เหมากันไป คันนึงก็ 800 บาทเที่ยวทุกจุดในเขาค้อเลย ก็ได้ราคาถูกเพราะหารกัน แต่… ไปกันสองคน ก็เลยต้องอาศัยวิชามนุษยสัมพันธ์ ทำการคุยกับลุงคนขับรถสองแถวคันนึง (จำชื่อลุงไม่ไ่ด้ ขอโทษนะคร๊าบ T T) ตอนแรกก็คุยกับลุงว่าเอาไงดี ผมก็ไม่ไ่ด้อยากเที่ยวหลายที่มากหนะครับ ลุงเลยเปล่งวาจาสิทธิออกมาว่า “งั้นลุงลดให้ 700 บาทละกัน เดี๋ยวพาแวะหมดเลย” และด้วยความที่ต้องตุนเสบียงในมื้อดึกอีก เลยถามลุงต่อว่า “งั้น… ถ้าผมรบกวนลุงไปส่งที่ตลาดห้วยไผ่เพื่อไปซื้อของหลังจากกลับมาแล้วด้วยจะได้ไหมครับ” ลุงก็ตอบตกลง ตอนนั้นเราก็เลยโอเค ไปก็ไป ไหนๆ มาเที่ยวแล้วยังขี้เหนียวก็ใช่ที่ (แต่ตอนนั้นก็มีตังเกือบไม่ถึง ฮ่าๆ)
|
รถสองแถวใจดีคันนี้นี่เอง ที่พาเราไปทุกที่บนเขาค้อ ใครไปเที่ยวก็ใช้บริการลุงกันได้นะครับ |
|
บรรยากาศสองข้างทางระหว่างนั่งรถสองแถวขึ้นไปเที่ยวเขาค้อ |
ตอนเราขึ้นไปบนเขา เมฆฝนครึ้มจนคิดว่า ฝนตกหนักแน่ๆ อดลงไปเที่ยวตามจุดต่างๆ แหงๆ เปล่าเลยครับ ฟ้าสว่างโล่งเลย แต่ด้านล่างหนะฝนตกสะใจเลย ทำให้ช่วงเย็นวันนั้นอากาศเย็นสบาย ฟินเลยละ
สถานที่แรกที่แวะครับ พระบรมเจดีย์กาญจนาภิเษก สำหรับที่นี่จะประดิษฐานองค์พระพุทธรูปต่างๆ ไว้มากมาย เขาบอกว่าที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ และสวยงามด้วยนะครับ
แห่งที่สองครับ พระตำหนักเขาค้อ สำหรับที่แห่งนี้ การเดินทางถือว่าโหดมาก ทางชันสุดๆ ขึ้นเขาแบบหูอื้อเลย แต่เมื่อถึงแล้วก็คุ้มค่าที่ได้มาครับ บรรยากาศโดยรอบสงบ เงียบและร่มรื่นมากๆ สำหรับผู้จะเดินทางมาก็แนะนำให้แต่งกายให้สุภาพและอย่าส่งเสียงดังเอะอะโวยวายนะครับ บรรยากาศเงียบๆ มันจะเสียซะหมด เดินเข้าไปข้างในก็จะเจอกับสวนดอกไม้สวยงามและป่าสนที่บรรยากาศเหมือนซีรีย์เรื่อง Autumn in my heart เลยละครับ เดินออกมาบริเวณที่พักก็จะเจอจุดชมวิว ที่เห็นหมอกจางๆ ปกคลุมบ้านเรือนอีกด้วย
|
บรรยากาศภายในพระตำหนักเขาค้อ |
|
ป้ายทางเข้าพระตำหนัก |
|
จุดชมวิวที่สูงจากน้ำทะเล 1100 เมตร |
|
ป่าสนสวยๆ |
โอเค ไปต่อกันที่ที่สามครับ พิพิธภัณฑ์อาวุธเขาค้อ อาจจะงงว่าทำไมถึงมีพิพิธภัณฑ์อะไรแบบนี้บนเขา ประวัติคร่าวๆ ของเขาค้อจริงๆ เคยมีการสู้รบกันมาก่อน แล้วใช้เขาค้อนี่แหละฐานตั้งของทหารนั่นเอง ที่นี่จะจัดแสดงอาวุธต่างๆ ที่ใช้ในการรบกันสมัยก่อนและมีการเล่าถึงประวัติคร่าวๆ ของการรบในครั้งนั้นอีกด้วย ค่าเข้าชม 10 บาทต่อคนเองครับ
นั่งรถต่อกันมาอีกนิด จะพบกัน อนุสรณ์ผู้เสียสละเขาค้อ ที่แห่งนี้จะมีอนุสรณ์ที่รวบรวมรายชื่อของผู้เสียชีวิตระหว่างการรบไว้ เป็นการยกย่องให้แก่พวกเขาที่ช่วยปกป้องประเทศของเราไว้ และเดินไปด้านหลัง จะพบกับฐานตั้งรับที่สามารถมองเห็นวิวของเขาค้อได้อย่างดีเลยละครับ
เที่ยวเสร็จก็เย็นพอดี เดินทางกลับลงมาจากเขาค้อด้วยสองแถวคุณลุงท่านเดิม ได้เข้าไปที่ตลาดห้วยไผ่ ห่างจากที่พักประมาณ 2 กิโลเมตร (อย่าคิดจะเดินไป ผมเตือนแล้ว 2 กิโลแม้วชัดๆ) ก็แวะซื้อของกินมื้อเย็นและมื้อดึก เลยเก็บบรรยากาศเงียบๆ ในเวลาเย็นๆ มาฝากกันด้วย ขนาดเป็นเมืองที่มีรถผ่านอยู่บ่อยๆ แต่ก็เงียบมากเลยละครับ
พอเช้า เราตื่นกันหกโมงเช้าครับ ต้องไปซึมซับบรรยากาศเย็นๆ และไปดูหมอกที่ปกคลุมทั้งเมืองให้ได้ ที่รีสอร์ทเค้ามีหอสูงที่สามารถชมวิวของเมืองได้ 360 องศาพอดีครับ ขึ้นไปต้องบอกว่า ฟินนนนนนนนนน สมใจอยากเลยละครับ ทั้งอากาศเย็นๆ และวิวเมืองสวยๆ หาดูยากมาก หมอกในวันนั้นถือว่าเยอะนะครับในฤดูร้อนแบบนี้ (ผลมาจากฝนตกเมื่อวานด้วย ทำให้อากาศชื้น) ถึงจะไม่ได้ดูทะเลหมอกแบบภาพงามๆ ที่เราเคยเห็น แต่ได้เห็นหมอกที่ปกคลุมทั้งเมืองแบบนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ได้มาแล้วครับ
|
หอชมเมืองภายในรีสอร์ทครับ สูงใช้ได้ ต้องเดินขึ้นมาชมให้ได้เลย |
|
ภาพในมุม Panorama |
ส่วนอาหารเช้านั้น โรงแรมก็มีบริการไว้ครับ เป็น American Breakfast เลือกเครื่องดื่มเป็นกาแฟหรือโอวัลตินก็ได้ ส่วนค่าใช้จ่ายก็รวมในค่าที่พักอยู่แล้ว สบายหายห่วงครับ เสร็จแล้วก็เลยเดินถ่ายรููปเล่นภายในรีสอร์ทกันซักพัก Checkout ออกจากรีสอร์ท 9 โมงครึ่ง ไปนั่งรอรถที่ศาลาฝั่งตรงข้าม กลับด้วยรถสายเดิมครับ เป็นการเที่ยวแบบ 2 วัน 1 คืนที่จบลง
ทริปนี้ถือว่าสั้นๆ แต่คุ้มค่านะครับ ถึงจะเที่ยวไม่ครบทุกที่บนเขาค้อ แต่การได้ฟินอากาศเย็นๆ และได้ดูหมอกบนภูเขาสวยๆ ก็ถือว่าเป็นความสุขในชีวิตอย่างหนึ่งแล้ว และที่เค้าบอกว่า “พักเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี” ก็คงจะจริง เพราะอากาศที่นี่บริสุทธิ์จากธรรมชาติเลยละครับ สำหรับใครอยากชมภาพทริปครั้งนี้ของผมเพิ่มเติมก็สามารถรับชมได้ในอัลบั้ม หนีร้อนไปพึ่งหนาว ณ เขาค้อแลนด์ ใน Google+ ผมได้เลยนะครับ 🙂