คนเราทุกคนก็ย่อมมีเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่ต้องพบเจอกับความเครียดหรือสิ่งที่ผิดหวังกันมาทั้งนั้น แต่บางทีเชื่อไหมว่า สิ่งเหล่านี้เมื่อเก็บสะสมกันมาเรื่อยๆ คุณจะรู้สึกว่า จากคนที่เคยร่าเริง มองโลกในแง่ดี วันนึงมันอาจจะทำให้โลกของคุณเปลี่ยนไปเลยก็ได้…
คือยังงี้ครับ ช่วงนี้ผมเจอเรื่องเครียดๆ มาเยอะเหมือนกัน รู้สึกว่าตั้งแต่ต้นปีใหม่ของปีนี้เลยก็ว่าได้มั้ง ทั้งเรื่องงาน ครอบครัว การเงินและอนาคต คือเป็นคนที่พอเครียดแล้วเก็บ ไม่ยอมแก้ เลือกที่จะปล่อยให้มันผ่านไปทั้งๆ ที่ปัญหามันก็ยังอยู่ แล้วพอมันเครียดมากๆ เข้ามันก็เริ่มแสดงผลออกมาทางร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก ช่วงที่ผมเริ่มมีอาการเครียดใหม่ๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองร่างกายอ่อนแอลง ป่วยง่าย หรือปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุบ่อยๆ ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่า คงเป็นเพราะร่างกายเราใช้งานหนักมั้ง
จนกระทั่งช่วงที่ตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานย่านสีลม ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มไม่เหมือนเดิม จากที่เคยมองโลกในแง่ดีได้ เคยอยู่ตัวคนเดียวแล้วไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเริ่มอยู่คนเดียวไม่ได้ เริ่มฟุ้งซ่าน มีอาการเริ่มเก็บตัว นอนไม่ค่อยหลับ จากเป็นคนที่หัวถึงหมอนก็หลับเลย คือเอาง่ายๆ ว่า รู้สึกตัวเองไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป เหมือนมีใครอีกคนมาสิงผมยังไงยังงั้นเลย
ทีนี้ช่วงที่เริ่มเข้าเฟสความเครียดสะสม ร่างกายมันเลยส่งสัญญาณอันตรายออกมาก็คือ เมื่อผมต้องเจอกับเรื่องที่ไม่คาดฝันหรือมีอะไรที่มันผิดแผนไป ผมจะรู้สึกหงุดหงิดแล้วฟื้นอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หรือเป็นหนักสุดก็คือร่างกายไม่มีแรงไปเลย ยังกับช็อคยังไงยังงั้น และอีกอย่างที่ผมรู้สึกได้ก็คือสมองหรือหัวของผมมันไม่โล่งเหมือนแต่ก่อน เหมือนมีเมฆหรือควันดำๆ ที่ลอยอยู่กลางหัว ทีนี้เวลาเจอเรื่องที่เรารับมือกับสถานการณ์ไม่ทันหรือเครียด มันเหมือนฟ้าผ่าลงกลางหัวแล้วผมก็จะเบลอไปเลย คือนั่งๆ ทำงานหรือขับมอไซต์ก็จะรู้สึกปล่อยเบลอซะยังงั้น
ผมเองก็ไม่รู้สึกดีกับตัวเองที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เพราะดันแสดงความเหนื่อยของตัวเองออกไปทางสีหน้าให้เพื่อนร่วมงานรวมถึงคนใกล้ชิดเห็น ทุกคนก็บอกว่าผมดูเครียดๆ เหนื่อยๆ นะ แต่เราก็คิดว่า ‘เรายังโอเค เรายังมือกับมันไหว ทำงานให้มันยึ่งๆ เดี๋ยวก็ดี’ แต่จริงๆ คุณรู้ไหม ในส่วนลึกของผมมันจะบอกว่า ‘มึงไม่ไหวหรอก มึงโคตรจะไม่โอเคเลยแหละ’ แต่นั่นแหละ บางทีมันเป็นเรื่องของมารยาททางสังคมส่วนนึงที่ทำให้ผมต้องแสดงออกไปแบบนั้น
จนสองสามวันก่อนที่ผมจะเขียนบล็อกนี้ ผมมีอาการทำงานไม่ได้เลย รู้สึกหม่นหมอง เครียดอะไรก็ไม่รู้ ฟุ้งซ่านไปเรื่อย แถมไม่มีอารมณ์ร่วมอะไรกับบรรยากาศซักอย่าง ก่อนนอนในคืนนั้นผมรู้สึกว่ามันง่วงมากๆ ตั้งแต่ 4 ทุ่ม แต่ผมนอนไม่ได้เลย รู้สึกสมองมันวิ่งตลอดเวลา พอกินยาคลายเครียดก็ยิ่งทำให้ทรมานไปใหญ่ กว่าจะได้นอนก็ตี 2 สุดท้ายผมตัดสินใจที่ไปหาจิตแพทย์ที่รักษาแฟนของผมดีกว่า (ตัวเขาเองก็รักษาโรคซึมเศร้าอยู่มา 2 ปีแล้ว นี่ก็ดีขึ้นเยอะ และหมอคนนี้ก็เก่งมากๆ ด้วย อ่านเพิ่มเติม) วันนั้นผมเลยตัดสินใจขับมอไซต์ไปทั้งๆ ที่เบลอๆ เพื่อที่จะไปหาหมอให้ได้ แต่จริงๆ ในใจมันก็จะรู้สึกอีกแหละว่า ‘มึงจะไปทำไมวะ มึงก็ยังโอเคอยู่นะเว้ย’ แต่ก็เหมือนเดิม ผมไม่โอเคกับบุคคลที่มาสิงตัวผมตอนนี้
โชคดีมากๆ วันที่ผมไปหาหมอคือวันที่หมอจะอยู่ไทยวันสุดท้าย ก่อนที่เค้าจะบินไปเที่ยวต่างประเทศ ผมรอคิวตั้งแต่ 6 โมงเย็น กว่าจะได้ตรวจก็ 5 ทุ่ม เพราะคุณหมอคิวที่โรงพยาบาลเขาเยอะ เราก็ไหนๆ มาแล้วก็รอดีกว่า (ใครสนใจคลินิกหรือรายละเอียดของคุณหมอ เดี๋ยวหลังไมค์มาถามกันได้นะ)
โอเค ทีนี้พอได้เข้าไปเจอหมอ แฟนผมก็เข้าไปในห้องตรวจด้วย ก็มีการคุยแซวกันว่า ‘หมอทายซิครับ ใครเป็นคนมาตรวจ’ หมอก็ถึงกับขำ เพราะเราเองปกติมีหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันแฟน แต่รอบนี้กลับมาเป็นผู้ป่วยของหมอซะงั้น ซึ่งจริงๆ หมอบอกว่าก็สังเกตอาการและสีหน้าเราตอนเจอกันรอบก่อน เค้าก็คิดว่าเราดูมีอาการไม่ดี และหน้าตาดูหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเราที่มองจากมุมตัวเองเราไม่เคยรู้มาก่อน จนหมอมาทักนี่แหละ เราก็เลยมามองตัวเองอีกครั้ง ก็เออหวะ เราแม่งดูไม่สดชื่นจริงๆ ด้วย
ผมก็บอกหมอหมดเลยแหละว่าอาการตอนนี้เป็นยังไง รู้สึกยังไง แล้วเราไม่อยากเป็นคนนี้ที่ไม่ร่าเริง โฟกัสกับงานไม่ได้ แถมทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีกับอารมณ์ของเราอีก แต่ผมไม่ระบายปัญหาหรือสิ่งที่ทำให้ผมเครียดกับหมอฟังนะ เพราะผมก็พูดกับคนรอบตัวไปเยอะเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ทำให้ไอ้ความรู้สึกแย่ๆ นี้มันออกไปเลย เบ็ดเสร็จหมอก็วินิจฉัยแล้วก็เรียบร้อยครับ ผมก็กลายเป็นคนที่มีภาวะซึมเศร้า เพราะถึงแม้คิดจะทำร้ายตัวเองน้อย แต่การที่มีความหม่นหมองหรือไม่สดชื่นกับแวดเล้อมเนี่ย มันก็ทำให้เราเข้าข่ายซึมเศร้าได้แล้ว
สุดท้ายก็รับยาหมอมากิน ผ่านมาสองวันตอนนี้ก็รู้สึกว่าดีขึ้นเยอะเลยเหมือนกัน จากที่มันมีเมฆดำๆ ตอนนี้ก็เบาลง แถมผมรู้สึกว่า การที่เรารู้ตัวก่อนว่าเราไม่โอเคและเราก็รีบไปหาหมอ มันเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เลย เพราะถ้าเราลองปล่อยไว้อีกซักพัก แล้วอาการมันก็เริ่มลุกลาม อนาคตผมก็คงต้องปรับตัวกับตัวเองใหม่อีกยาวแน่นอน อีกอย่างถ้าไม่มีคนรอบข้างที่ใส่ใจหรือคอยดูแลกันมา ป่านนี้ก็คงยังนอนซมติดเตียงอยู่เหมือนเดิมแน่ๆ ขอบคุณที่กำลังใจมากๆ เลยนะครับ
ทุกคนก็เหมือนกันนะครับ ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนเดิมหรือคุณไม่โอเคกับจิตใจของคุณตอนนี้ ไปหาหมอกันซะแต่เนิ่นๆ เพื่อกลับมาพบกับความสดใสอีกครั้งนึงกันดีกว่านะครับ แต่ตอนนี้…วีวี่คนเดิมของพวกคุณจะกลับมาในไม่ช้านี้นะ 😀